ขั้นตอนการนำเข้าสินค้าระหว่างประเทศ

105 จำนวนผู้เข้าชม  | 

Import Procedure Cover

การนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเป็นขั้นตอนสำคัญในการขยายธุรกิจ และมีความซับซ้อน ผู้นำเข้าต้องมีการวางแผนและเตรียมความพร้อมเพื่อให้การนำเข้าสินค้าเป็นไปอย่างราบรื่นไม่ติดขัด ในประเทศไทยก็มีข้อกำหนดและข้อบังคับเกี่ยวกับการนำเข้าสินค้าบางประเภท หรือมีการกำหนดอัตราภาษีนำเข้าที่สูงสำหรับสินค้าบางชนิด การไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดเหล่านี้ อาจทำให้สินค้าถูกกักกัน ยึด หรือถูกส่งกลับ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดค่าใช้จ่ายและความล่าช้า ทางทูเกตเตอร์จะมาแนะนำขั้นตอนการนำเข้าสินค้าระหว่างประเทศ เพื่อให้ง่ายต่อการวางแผนและการดำเนินธุรกิจ สำหรับผู้นำเข้ามือใหม่หรือผู้ที่สนใจอยากจะนำเข้าสินค้า

ขั้นตอนการนำเข้าสินค้า
  1. จดทะเบียนพาณิชย์ และขอเลขและบัตรประจำตัวผู้เสียภาษีอากร
  2. จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ผู้นำเข้าสินค้าทุกชนิด เว้นแต่สินค้าพืชผลทางการเกษตรจะได้รับยกเว้น
  3. ขึ้นทะเบียน Paperless กับกรมศุลกากร เพื่อใช้ผ่านพิธีการศุลกากร ในขั้นตอนนี้ผู้นำเข้า สามารถดำเนินการด้วยตัวเอง หรือใช้บริการผ่านทูเกตเตอร์ก็ได้เช่นกัน
  4. หาสินค้าที่ต้องการนำเข้าจากประเทศต่างๆ โดยผู้ขายต้องสามารถยืนยันชื่อและที่อยู่ เพื่อใช้ในการส่งออกได้
    • การยืนยันชื่อและที่อยู่ของผู้ขายสินค้า คือผู้ขายสินค้าต้องมีการลงทะเบียนเป็นผู้ส่งออกกับหน่วยงาน ณ ประเทศของผู้ผลิตสินค้า
  5. ตรวจสอบประเภทสินค้าและกฏเกณฑ์ในการนำเข้า เช่น 
    • อัตราภาษีนำเข้า (จำเป็นต้องตรวจสอบทุกครั้ง)
    • ข้อห้ามและข้อจำกัดในการนำสินค้าเข้า เช่น
      • อาหารสดและอาหารแปรรูปบางชนิด
      • พืชและสัตว์บางชนิด
      • อาวุธและวัตถุอันตราย
      • สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์
    • เอกสารที่จำเป็นสำหรับการนำเข้า (จำเป็นต้องตรวจสอบทุกครั้ง) เช่น ใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า ใบอนุญาตต่างๆ
    • มาตรฐานและข้อกำหนดด้านคุณภาพและความปลอดภัย
    • ข้อกำหนดด้านบรรจุภัณฑ์และการติดฉลาก
  6. วางแผนการนำเข้า โดยคำนึงถึงระยะเวลาในการขนส่งสินค้า ระยะเวลาในการดำเนินพิธีการศุลกากร และระยะเวลาในการจัดเตรียมเอกสารเพื่อการนำเข้า เพื่อให้สินค้าถึงปลายทางตามเวลาที่กำหนด
  7. ติดต่อ สั่งซื้อสินค้า โดยผู้ซื้อจะออกเอกสารที่เรียกว่า ใบสั่งซื้อสินค้า (Purchase Order ) เพื่อให้ผู้ขายออกเอกสาร บัญชีราคาสินค้า (Invoice) และ ใบกำกับหีบห่อ (Packing List) เพื่อเป็นการยืนยันคำสั่งซื้อสินค้า ในขั้นตอนนี้จะมีเรื่องของเงื่อนไขการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ(Incoterms) เข้ามาเกี่ยวข้องซึ่งแต่ละเงื่อนไขจะเป็นตัวกำหนดความรับผิดชอบระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย
  8. ผู้ซื้อชำระเงินค่าสินค้าผ่านธนาคาร
  9. คัดเลือกผู้ให้บริการขนส่ง (Freight Forwarder) ที่เชื่อถือได้ เพื่อช่วยดำเนินการขั้นตอนการนำเข้า เช่น
    • มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการขนส่งสินค้าประเภทของคุณ
    • มีบริษัทตัวแทนอยู่ในประเทศของผู้ขายสินค้าหรือผู้ผลิต เพื่อประสานงานขั้นตอนการส่งออกและนำเข้า
    • บริการเสริมต่างๆ เช่น การประกันภัยสินค้า การติดตามสถานะการขนส่ง
    • ราคาและเงื่อนไขการให้บริการ
  10. จัดเตรียมเอกสารเพื่อการนำเข้า
    • ใบขนสินค้าขาเข้า (Import Customs Entry)
    • ใบตราส่งสินค้าทางเรือ (Bill of Lading) ทางอากาศ (Air Way Bill)
    • บัญชีราคาสินค้า (Invoice)
    • ใบกำกับหีบห่อ (Packing List)
    • ใบอนุญาตสำหรับสินค้าควบคุมการนำเข้า (ถ้ามี) Import Permit
    • ใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า (Certificates of Origin) กรณีมีการขอลดอัตราภาษีอากร
    • ใบแจ้งยอดเบี้ยประกัน (Insurance Premium Invoice) 
    • เอกสารอื่นๆ เช่น เอกสารแสดงส่วนผสม คุณลักษณะและการใช้งานของสินค้า (Material Safety Data Sheet), แค๊ตตาล็อก (Catalog)
  11. เมื่อสินค้ามาถึง ท่าเรือหรือสนามบินปลายทาง ผู้นำเข้าหรือตัวแทนผู้นำเข้า (Freight Forwarder)ดำเนินการติดต่อบริษัทขนส่งสินค้า เพื่อรับเอกสารใบสั่งปล่อยสินค้า (Delivery Order) โดยขั้นตอนนี้ผู้นำเข้าจะต้องชำระค่าใช้จ่ายขาเข้า (Local Charges) กับผู้ขนส่ง ให้เรียบร้อย
  12. ดำเนินผ่านพิธีการศุลกากรขาเข้าและชำระภาษีอากร  
    ปัจจุบันการชำระภาษี สามารถทำได้ 3 วิธี คือ ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ธนาคาร และกรมศุลกากร โดย  จัดเตรียมใบขนสินค้าขาเข้าและเอกสารเพื่อการนำเข้ายื่นต่อเจ้าหน้าศุลกากร เพื่อทำการตรวจปล่อยสินค้าออกจากอารักขาศุลกากร
  13. ขนส่งสินค้าไปยังผู้นำเข้าหรือผู้รับสินค้า เมื่อสินค้าได้รับการตรวจปล่อยเรียบร้อย จึงจะสามารถขนส่งไปยังผู้นำเข้าได้

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้